การตรวจร่างกาย Physical Exam

การตรวจร่างกาย

สำหรับกู้ชีพและกู้ภัย

For English click here မြန်မာဘာသာစကားအတွက် ဤနေရာကိုနှိပ်ပါ။

หญิงสาวคนหนึ่งกลั้นน้ำตาระหว่างเราตรวจช่วงอกและซี่โครงของน้อง น้องหายใจหอบ กัดฟันด้วยความเจ็บ เรากล่าวขออนุญาตและขอโทษที่ต้องใช้นิ้วมือคลำบริเวณที่น้องอาจบาดเจ็บ “ตรงนี้เจ็บไหมครับ” ดูว่ารู้สึกถึงอะไรแตกหักไหม มีเลือดติดนิ้วเราหรือเปล่า เราเจออะไรที่น่าจะช่วยชีวิตเธอได้หรือยัง การตรวจร่างกายผู้ป่วยสามารถเผยรายละเอียดที่สามารถช่วยชีวิตได้ ซึ่งเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยถ้าไม่สัมผัสและสังเกตร่างกายของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

เวลาประเมินผู้ป่วย เราจะหาว่ามีความผิดปกติใดบ้าง การตรวจร่างกายก็เช่นกัน เราไม่อยากให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาช้าหรือถูกส่งตัวช้า แต่เราก็ไม่อยากพลาดรายละเอียดสำคัญเช่นกัน กู้ชีพที่มีทักษะเชี่ยวชาญจะสามารถทำการตรวจร่างกายได้อย่างละเอียด ทั่วถึงและรวดเร็ว

เราต้องมองหาอะไร

ในการตรวจร่างกาย เราจะใช้มือและนิ้วมือของเราในการสัมผัสดูความผิดปกติต่าง ๆ รวมถึงดูสีหรือรูปร่างที่ผิดไปจากปกติ บางทีต้องใช้ประสาทรับกลิ่นและเสียงของเราด้วย อย่างไรก็ตาม หากเราตรวจสอบผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บด้วยสายตาแล้ว เมื่อตรวจเสร็จก็อย่าลืมปิดส่วนใต้ร่มผ้ากลับคืนให้เขา

เราตรวจอะไร ?

ตัวย่อที่เรียกว่า DCAP-BTLS สามารถบอกบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับความผิดปกติประเภทต่าง ๆ (บางหน่วยงานเขาเรียกว่า DCAP-BTLS-IC)

D ย่อมาจาก Deformities หรือการผิดรูปปูดจากปกติ ถ้ามีอะไรผิดรูปก็ยืนยันได้ว่าสิ่งนั้นไม่ปกติเมื่อเทียบกับอวัยวะอีกข้าง เช่น คลำดูไหล่ซ้ายและไหล่ขวาแล้วพบว่ามีความแตกต่างกัน

Deformed right ankle

C ย่อมาจาก Contusions (ส่วน Crepitus ให้ดูข้างล่าง) หรือการฟกช้ำนั่นเอง เห็นรอยสีดำ น้ำเงิน ม่วง เขียว หรือสีอื่นที่บ่งบอกว่ามีอาการฟกช้ำหรือเปล่า

left arm with a bruise

A ย่อมาจาก Abrasions ผู้บาดเจ็บมีรอยถลอกเสียดสีกับถนนไหม อย่าลืมทำความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

right knee with abrasions

P ย่อมาจาก Punctures ผู้บาดเจ็บมีรอยถูกเจาะ-เฉาะ-จิ้ม-ทิ่ม-ทะลุแบบไหน มีชิ้นส่วนอะไรโผล่มาจากร่างกายผู้บาดเจ็บหรือเปล่า เทคนิคการนำวัตถุต่าง ๆ ออกจะแตกต่างกันไปตั้งแต่เสี้ยนไม้ตำ ตะขอตกปลาเสียบ ไปจนถึงเหล็กไนของผึ้ง สำหรับชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่านั้น ให้เราดามไว้ คงสภาพให้อยู่กับที่เพื่อให้ศัลยแพทย์นำวัตถุนั้น ๆ ออกโดยไม่ทำให้เส้นเลือดฉีกขาดโดยไม่จำเป็น

Trauma patient punctured with three pieces of rebar

B ย่อมาจาก Bleeding และ Burns ซึ่งก่อคืออาการเลือดออกและแผลไหม้ ระหว่างที่ใช้มือสัมผัส สามารถดูที่ถุงมือได้ว่ามีเลือดมือหรือไม่ ส่วนแผลไหม้จะมีกลิ่นเหมือนเนื้อย่าง

Bleeding from the head
3rd Degree Burn to a Right Foot

T ย่อมาจาก Tenderness ซึ่งก็คือการกดเจ็บ “เจ็บไหมครับ” เราต้องถามคำถามนี้กับผู้บาดเจ็บซ้ำ ๆ ระหว่างที่ใช้นิ้วมือกดเบา ๆ หาพื้นที่ที่มีอาการบาดเจ็บ ตรงนี้ต้องใจแข็งหน่อย เพราะเรากดเพื่อตรวจและช่วยเหลือเขา

Patient with a knee tender to touch

L ย่อมาจาก Lacerations แปลว่าแผลฉีกขาด เป็นได้ตั้งแต่ระดับเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดดำ และลึกจนถึงเส้นเลือดแดง

laceration to the back of a right hand

S ย่อมาจาก Swelling แปลว่าความบวม มีส่วนไหนของร่างกายที่บวม มีขนาดใหญ่ผิดปกติหรือเปล่าเมื่อเทียบกับอีกข้าง ถ้ามีก็อาจมีอาการบวม เช่น เข่าขวาบวมเมื่อเทียบกับเข่าซ้าย

Swollen right arm

(บางแหล่งจะเพิ่ม IC เข้ามาเป็นตัวย่อด้วย)

I ย่อมาจาก Instability คือ ทรงตัว ดูว่าแขนขาหรือบริเวณที่มีอาการนั้นมีแรงไหม ใช้มือจับได้ไหม กระดูกรับน้ำหนักได้ไหม ข้อต่อมีแรงไหม มีความยืดหยุ่นอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า ข้อนี้รวมถึงความสามารถในการยืนโดยไม่ต้องมีการพยุงด้วย อย่างในผู้ป่วยที่อาจมีอาการเส้นเลือดในสมองแตก เราจะตรวจว่าระหว่างที่ผู้ป่วยนั่ง แขนและเท้าทั้งสองข้างมีแรงหรือไม่

Patient Unstable on Their Feet

C ย่อมาจาก Crepitus คือความ “กร็อบแกร็บ” ที่อาจมาจากกระดูกหักแล้วเสียดสีกัน

ที่จริงเราไม่ต้องจำทุกคำขนาดนั้น เพราะเราตรวจดูได้ว่าผู้ป่วยมีปัญหาอะไร จุดไหน การดูแลผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บอย่างเหมาะสมมีความสำคัญกว่าการรู้จักคำศัพท์พวกนี้

จะหาอาการบาดเจ็บอย่างไร 👁 👁

เราจะเริ่มจากบริเวณที่อันตรายถึงตายได้ก่อนแล้วค่อยไปดูจุดที่สำคัญน้อยกว่า จุดสำคัญได้แก่ศีรษะ คอ และหน้าอก เพราะสิ่งสำคัญในการมีชีวิตที่สุดคือสมอง ทางเดินหายใจ หัวใจและปอด

กลับมาที่หญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บที่ตอนต้นของบทความเมื่อสักครู่ การใช้มือของเราสัมผัสตัวผู้ป่วยตามร่างกาย ฉีกเสื้อผ้าของเธออาจะดูไม่เหมาะสมก็จริง แต่มันมีวิธีให้เราสามารถทำได้อย่างมั่นใจและสุภาพ อธิบายให้ผู้ป่วยฟังก่อนว่าเราจะทำอะไรก่อนที่เราจะลงมือ ขออนุญาต กล่าวขอโทษที่ต้องตรวจส่วนนั้นส่วนนี้ อธิบายว่าเราต้องดูว่ามันมีปัญหาอย่างไร และระหว่างที่สัมผัสส่วนนั้นๆ ให้ถามว่า “เจ็บไหมครับ”

ตรวจอย่างมั่นใจและให้เกียรติ

  • ศีรษะ – กล่าวขออนุญาตและอธิบายสั้นๆ ว่าทำไมต้องตรวจบริเวณศีรษะ จากนั้นใช้นิ้วมือคลำใบหน้าและหนังศีรษะเพื่อหาอาการบาดเจ็บที่อาจมองไม่เห็นด้วยตา
    • ใบหน้าเบี้ยวหรือมุมปากตกหรือไม่
    • ม่านตาทั้งสองข้างเปิดเท่ากันไหม ตอบสนองต่อแสงไหม
    • ถ้าผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บยังมีสติอยู่ บอกให้เขาอ้าปากและออกเสียง “อ้า” ดูว่ามีอะไรอุดกั้นทางเดินหายใจหรือเปล่า
    • มีของเหลวไหลออกจากหูผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บหรือไม่
  • คอ – ถ้าทำได้ให้ใช้นิ้วมือคลำช่วงกระดูกต้นคอ
    • มีเส้นเลือดปูดบวมไหม
    • มีอาการกดเจ็บหรือบาดเจ็บที่กระดูกต้นคอไหม
  • ช่วงอกและไหล่ – เมื่อเปิดเสื้อผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บ เราสามารถเห็นความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงการฟังเสียงปอด ใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสว่าช่วงอกขยับอย่างไรระหว่างที่หายใจ
    • อกทั้งสองด้านขยับเหมือนกันไหม
    • กระดูกไหปลาร้าอยู่ในแนวเดียวกันทั้งสองช้างหรือไม่
  • ช่วงท้อง – แจ้งผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บว่าเราจะสัมผัสช่วงท้องของเขา นึกภาพว่าช่องท้องแบ่งเป็นสี่ส่วน บน-ล่าง-ซ้าย-ขวา ช่วงบนคือจากใต้ชายโครงถึงระดับสะดือ ช่วงล่างคือจากระดับสะดือถึงฐานเชิงกราน ให้เราแบมือสัมผัสทั้งสี่ส่วน
    • มีส่วนไหนที่มีอาการท้องแข็งไหม
    • มีอวัยวะในช่องท้องใดปูดออกมาไหม
  • หลัง – ถ้าผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บนอนหงายอยู่ สามารถตรวจหลังผู้บาดเจ็บตอนนำขึ้นกระดานรองหลังได้เพราะเขาอาจมีอาการบาดเจ็บตามกระดูกสันหลัง แต่หากผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บไม่ได้อยู่ในท่านอนหงาย ก็ควรตรวจหลังหลังจากตรวจช่องท้องและหน้าอก ค่อย ๆ ใช้สายตาและนิ้วมือไล่ดูจุดกดเจ็บและจุดที่เลือดออก โดนไล่จากส่วนศีรษะลงมาถึงก้นกบ
  • เชิงกราน – การตรวจอวัยวะเพศของผู้บาดเจ็บมีอยู่สองตัวเลือก คือ หนึ่ง ใช้หลังมือของเรากดดูด้านในของต้นขา หรือ สอง ยืมมือผู้บาดเจ็บมีสัมผัสอวัยวะเพศของตนเองดู เราจะใช้มือของเราสัมผัสยอดกระดูกสะโพกใต้บั้นเอวและกดดู
    • มีอะไรโยกเยก แตกหัก เคลื่อนที่ไหม
    • มีอะไรขยับไหม
  • แขนและขา – มีวิธีตรวจหลากหลายวิธี ถ้าเป็นเคสที่รุนแรงมาก ๆ เรามักจะใช้มือทั้งสองข้างของเรากดแขนขาทั้งสองข้างดูพร้อมกัน
    • เริ่มจากส่วนต้นหรือจุดที่ติดลำตัวก่อน แล้วไล่มาถึงส่วนปลาย
    • ถ้าผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บบอกว่าเจ็บจุดไหน ให้เริ่มตรวจจากรัศมีภายนอกของจุดเจ็บแล้วค่อย ๆ ไล่ไปยังจุดศูนย์กลางของจุดเจ็บ แล้วเปรียบเทียบกัน
    • ในบางกรณี ลองให้ผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บขยับแขนหรือขาเพื่อดูว่าเวลาขยับแล้วเจ็บหรือไม่
  • มือและเท้า – นอกจากอาการบาดเจ็บแล้ว เรายังตรวจมือและเท้าเพื่อดูการไหลเวียน การรับความรู้สึก และดูว่ามือเท้ามีแรงหรือไม่ด้วย
    • สามารถตรวจการไหลเวียนโลหิตได้จากชีพจรที่ข้อมือหรือที่เท้า หรือจากการทดสอบการไหลกลับของเลือดในหลอดเลือดฝอย เลือดไปเลี้ยงแขนขาได้ดีหรือไม่
    • ทดสอบการรับความรู้สึกที่มือหรือเท้าด้วยการหยิก จักจี้หรือข่วน หลายครั้งผมจะใช้มือข้างหนึ่งปิดบังไม่ให้ผู้บาดเจ็บเห็นว่าผมกำลังใช้มืออีกข้างทำอะไรกับมือและเท้าเขา เช่น “บีบนิ้วโป้งเท้า” “หยิกนิ้วก้อย” หรือ “ถูหลังมือ”
    • ทดสอบแรงของผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บได้ด้วยการให้เขาลองใช้มือเขาบีบนิ้วเรา หรือใช้เท้าหรือมือยัน/ต้านแรงเรา

การประเมินลำดับแรก ๆ เราจะแก้จุดที่อันตรายถึงชีวิตก่อน (ทางเดินหายใจ การหายใจ และการไหลเวียน) การตรวจร่างกายแบบนี้ ทำให้เราจัดการอาการบาดเจ็บที่เราพบได้ (บางทีการตรวจร่างกายจะเรียกว่าการประเมินขั้นที่สอง)

ในเคสของหญิงสาวที่เราเคยพูดถึงไปก่อนหน้านี้ เมื่อเราจำเป็นต้องตรวจหาอาการบาดเจ็บในบริเวณที่ถือเป็นส่วนตัว เช่น หน้าอก ใบหน้า ช่องท้อง หรือสะโพก เราจะต้องแจ้งและขออนุญาตเธออย่างสุภาพก่อนที่จะสัมผัสหรือเปิดเสื้อผ้าในบริเวณนั้น พร้อมทั้งพูดคุยกับเธอระหว่างการตรวจร่างกาย เพื่อให้เธอมีส่วนร่วมและรับรู้ถึงกระบวนการที่เรากำลังทำอยู่ตลอดเวลา

  • “ขอโทษนะครับ ผมจะขอตรวจตรงนี้”
  • “เจ็บไหมครับ”
  • “ไม่พบอารบาดเจ็บที่เห็นได้ชัดนะครับ”
  • “ผมปิดคืนให้นะ”

ถ้าพบแผลฉีกขาด ก็ทำแผล ถ้าพบกระดูกหัก ก็ดามไว้ หลังจากช่วยเหลืออาการเบื้องต้นแล้ว ให้ใช้ผ้าหรือผ้าห่มคลุมไว้เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงส่วนที่บาดเจ็บต่าง ๆ ได้เมื่อจำเป็น ความอบอุ่นช่วยเรื่องอาการช็อก และการดูแลเอาใจใส่จะช่วยได้มากเมื่อผู้บาดเจ็บรู้สึกเจ็บปวดและหวาดกลัว

ดูแลผู้ป่วย/ผู้บาดเจ็บอย่างเป็นมืออาชีพที่สุดโดยไม่พลาดแม้แต่อาการบาดเจ็บเดียว ดูแลเขาให้เหมือนกับที่เราอยากได้รับการดูแลหากเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

การตรวจทั้งร่างกาย VS ตรวจเฉพาะส่วน

อันดับแรกก็ต้องแยกระหว่างผู้ป่วยกับผู้บาดเจ็บ ในผู้ป่วย เราจะซักประวัติและตรวจดูตามประวัติที่ได้มา โดยทั่วไปแล้วประวัติผู้ป่วยจะชี้ทางให้เราได้ว่าควรตรวจเฉพาะส่วนส่วนใดบ้าง ซึ่งการตรวจเฉพาะส่วนนี้ โดยทั่วไปจะเป็นการตรวจเฉพาะส่วนที่มีอาการ มีปัญหา เช่น คนไข้ปวดท้องมา เราก็ตรวจดูช่องท้อง

อันดับแรกก็ต้องแยกระหว่างผู้ป่วยกับผู้บาดเจ็บ ในผู้ป่วย เราจะซักประวัติและตรวจดูตามประวัติที่ได้มา โดยทั่วไปแล้วประวัติผู้ป่วยจะชี้ทางให้เราได้ว่าควรตรวจเฉพาะส่วนส่วนใดบ้าง ซึ่งการตรวจเฉพาะส่วนนี้ โดยทั่วไปจะเป็นการตรวจเฉพาะส่วนที่มีอาการ มีปัญหา เช่น คนไข้ปวดท้องมา เราก็ตรวจดูช่องท้อง

แต่ไม่ว่าจะเป็นการตรวจทั้งร่างกายหรือตรวจเฉพาะส่วน สิ่งหนึ่งที่ต้องปฏิบัติแบบห้ามลืมก็คือวิธีตรวจคนไข้ แทนที่จะแสดงอำนาจหรือสั่งการผู้ป่วย เราควรเป็นเหมือนฮีโร่ที่ให้การดูแลอย่างเห็นอกเห็นใจในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดครับ


ขอขอบคุณมูลนิธิร่มไม้ที่ช่วยแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ ขอบคุณดร. Kaw สำหรับคำแนะนำด้านการประเมินผู้ป่วย ขอบคุณคุณมิ้งค์ที่ช่วยแปลข้อมูลเป็นภาษาไทย และ ดร. ฮันนี่ที่ช่วยแปลเป็นภาษาพม่าครับ ขอขอบคุณ to N. Jed, Zaw Rescue, K. Pui, Pitakkarn Rescue Mae Sot Branch, and K. Tang for help with photos.

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประเมินผู้ป่วย โปรดคลิกที่นี่

แหล่งอ้างอิง

Limmer, D. O. (2550 BE). Emergency Care 10th Ed. Upper Saddle River, New Jersey: Pearson Education Inc.

McEvoy, D., and Harper, T. (2567 BE). Wilderness Medicine, 15th ed. Missoula, Montana: Aerie Backcountry Medicine.

McNamara, E. C. (2563 BE). Outdoor Emergency Care: A Patroller’s Guide to Medical Care (6th Edition). Burlington, MA: Jones and Bartlett Learning.

Popular posts from this blog

Patient History

Hear Rate

การประเมินเบื้องต้น Initial Assessment